ค่านิยมการแต่งกายตามยุคสมัย
ค่านิยมการแต่งกายตามยุคสมัย
ก่อนยุคอารยธรรม…
หากจะกล่าวถึงการแต่งการตามยุค คงต้องเริ่มตั้งแต่ในสมัยยุคหินเก่าเลยที่เดียว
ในช่วงสมัยยุคหินเก่าที่มนุษย์ถูกเรียกสกุลว่า “โฮโม” นั้น การอยู่อาศัยไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่
มนุษย์ในยุคหินก่อสร้างบ้านเรือนด้วยหิน ไม่ก็อาศัยอยู่ในถ้ำ เป็นยุคที่ต้องรักษาดำรงเผ่าพันธ์ไว้เป็นสำคัญ
จึงยังไม่มีค่านิยมการแต่งกายเพื่อความสวยงาม โดยเน้นปกปิดร่างกาย ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย
และป้องกันสัตว์แมลงโดยส่วนใหญ่ ไม่มีหลักฐานถึงการแบ่งแยกเครื่องแต่งกายกับเพศที่ชัดเจน
โดยเครื่องแต่งกายในยุคส่วนใหญ่ทำมาจากพืช(ใบไม้) ไม่ก็หนังสัตว์
สรุปง่ายๆก็คือ “ค่านิยมการแต่งกายในสมัยยุคหินนั้นคือเพื่อความจำเป็นเพื่อความอยู่รอด”
นั้นเอง
ภาพวาดโดย Viktor Vasnetsov เป็นภาพวาดที่จินตนาการถึงมนุษย์ในสมัยยุคหิน โดยสวมใส่แค่ผ้าที่มำจากหนังสัตว์
เมโสโปเตเมีย
จะว่าเป็นยุคเริ่มแรกของการมีอารยธรรมบนโลกเลยก็ว่าได้ เพราะยุคนี้ก็ได้ถูกขนานนามว่าเป็นยุคที่มีอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ โดยมีที่ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำทั้งสองสาย คือ “แม่น้ำไทกริส” และ “แม่น้ำยูเฟรตีส” ซึ่งภูมิประเทศในแถบอารยธรรมแห่งนี้มีสภาพที่แห้งแล้ง
อากาศร้อนและกันดารฝน แต่เพราะมีน้ำ ผืนดินจึงเหมาะแก่การเพาะปลูกอย่างที่เขาว่ากันไว้ว่า
“ที่ใดมีน้ำที่นั้นมีชีวิต”
แน่นอนว่าในช่วงยุคสมัยเมโสโปเตเมียนั้นจะมีชนเผ่าหลายๆกลุ่มด้วยกัน
แต่ที่เราจะกล่าวถึงนั้นคือกลุ่มที่ถูกขนานนามว่าเป็นคนกลุ่มแรกที่สร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้น
คือ“ชาวสุเมเรียน” นั้นเอง
โดยชาวสุเมเรียน หรือ ซูเมอร์นั้น อยู่ในช่วงของ “การปฏิรูปยุคหินใหม่”โดยแตกต่างจากยุคหินเก่าคือ
เริ่มมีการทำเกษตรกรรม
เริ่มมีการแต่งกายเพื่อพิธีกรรมความเชื่อ
ซึ่งในยุคเมโสโปเตเมียนี้จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าค่านิยมการแต่งกายนั้นเริ่มต่างไปจากเดิม
ซึ่งถ้าสังเกต ชาวสุเมเรียนนั้นเริ่มมีเครื่องแต่งการของชนเผ่า มีการแต่งกายแยกระหว่างเพศขึ้นมา
มีเริ่มมีเครื่องประดับต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ซึ่งจากที่ได้กล่าวไป ก็คาดได้ว่า ค่านิยมการแต่งกายของยุคนี้คือ “การแต่งกายเพื่อบ่งบอกถึงเพศและบ่งบอกถึงชนเผ่า” นั้นเอง
ภาพนี้คือ เครื่องประดับของผู้หญิงชาวสุเมเรียนที่พิพิธภัณฑ์บูรณะขึ้นมาใหม่ ซึ่งถูกค้นพบในหลุมฝังศพของชาวสุเมเรียนหลายแห่ง
อียิปต์โบราณ
หลายคนอาจจะเคยได้ดูแอนิเมชั่นเรื่องหนึ่งจากค่ายยักษ์ใหญ่อย่างค่าย
“ดรีมเวิกส์แอนิเมชั่น” ในภาพยนตร์เรื่อง
“เดอะพริ้นซ์ออฟอียิปต์” ที่กำกับโดยเบรนด้า แชปแมนนั้น โดยในเรื่องนี้เป็นแอนิเมชั่นที่มีกลิ่นอายของอียิปต์โบราณที่ออกมาได้อย่างชัดเจนเลยก็ว่าได้
ซึ่งในหัวข้อนี้ผมจะไม่ได้มาบรรยายถึงความสนุกของภาพยนต์เรื่องนี้แต่อย่างใด
แต่ที่จะมาพูดถึงจริงเลยก็คือ “ค่านิยมการแต่งกายกับยุคอียิปต์โบราณนั้นเอง”
ในสมัยอียิปต์โบราณค่อนข้างรุ่งเรื่องเป็นอย่างมาก
เป็นยุคที่อารยธรรมที่มีความยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ โดยในสมัยอียิปต์โบราณจะเห็นได้ชัดว่าศาสนาความเชื่อเริ่มมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่ออารยธรรมในยุคสมัยในด้านสถาปัตยกรรม
วิถีชีวิตและอื่นๆรวมถึงเครื่องแต่งกายอีกด้วย
เครื่องแต่งกายในสมัยอียิปต์โบราณ ผู้ชายจะนุ่งผ้าสามเหลี่ยมผืนสั้นชิ้นเดียวคล้ายผ้าเตี่ยวเรียกว่า
“ลอยน์ โคลท” และไม่สวมเสื้อ ส่วน ผู้หญิงนุ่งผ้าผืนยาวชั้นเดียวทรงแคบยาวตั้งแต่ใต้อกถึงข้อเท้ามีสายสะพายดึงไว้ที่ไหล่ทั้งสองข้างเรียกว่า “ชีทกาวน์” ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปหากเราไปอยู่ในยุคนั้น
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการแต่งการสำหรับชนชั้นกษัตริย์ และผู้คนที่ทำงานในราชสำนัก ซึ่งมีความแตกต่างจากชนชั้นสามัญชนเป็นอย่างมาก
ซึ่งสิ่งนี้แหล่ะ ที่เป็นตัวบ่งบอกถึงค่านิยมการแต่งกายในยุคสมัยนั้น ซึ่งสามารถสรุปได้ง่ายๆเลยก็คือ
“เพื่อบ่งบอกถึงชนชั้นในสังคม” นั้นเอง
ภาพนี้เป็นภาพวาดบนกระดาษปาปิรุสในสมัยอียิปต์โบราณช่วงต้นยุค
คลาสสิกกับช่วงสมัยยุคกลาง
หลังจากที่ความรุ่งโรจน์ในยุคสมัยของอียิปต์โบราณได้เริ่มถูกกลืนหายไป อารยธรรมต่างๆก็มีพัฒนาการของเครื่องแต่งกายที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เริ่มมีเครื่องแต่งกายสำหรับการรบ และในบทบาทต่างๆ
มีความหรูหราและความสวยงามที่แตกต่างกันตามระดับของชนชั้นในสังคม
และเริ่มนำโลหะมาใช้ในการทำเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ มากขึ้นอย่างชัดเจน
อย่างในช่วงสมัยจักวรรดิโรมัน มีการนำโลหะมาทำชุดเกราะทหารสำหรับการรบซึ่งแตกต่างจากยุคกรีกในสมัยคลาสสิกที่ค่อนข้างรักสงบเน้นใฝ่หาความรู้
แสวงหาธรรมและการเข้าใจในโลกซะมากกว่า
พอมาในช่วงสมัยยุคกลางชนชั้นในสังคมได้มีให้เห็นอย่างชัดเจนมาก
เริ่มมีระบบเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งการมีระดับชนชั้นที่ชัดเจนขึ้นนั้นส่งผลกระทบเป็นอย่างมากกับการแต่งกายตามชนชั้นต่างๆ
อีกทั้งในสมัยยุคกลางยังได้รับอิทธิพลจากคริสต์ศาสนาเป็นอย่างมาก โดยเห็นได้ชัดคือการแต่งกายสำหรับบาทหลวงและพระสันตะปาปา
ที่แตกต่างจากชนชั้นอื่นๆอย่างชัดเจนอีกด้วย
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะสังเกตได้ว่า
ค่านิยมการแต่งกายในยุคสมัยนั้น คือ “เพื่อบ่งบอกถึงชนชั้นและบทบาทหน้าที่ในสังคม”นั้นเอง
ภาพนี้แสดงถึงความแตกต่างในการแต่งกายตามชนชั้นและบทบาทหน้าของตนในช่วงสมัยยุคกลาง
สมัยใหม่แห่งการบุกเบิกกับสงคราม
“สมัยใหม่” เป็นยุคสมัยที่ต่อจากยุคกลางที่จะเรียกให้เข้าใจในยุคง่ายๆก็คงจะเรียกว่า “ยุคแห่งศรัทธา” ก็แล้วกันนะ
ในสมัยใหม่ที่หลังจากสงครามครูเซดได้จบลงไปผู้คนก็เริ่มเปลี่ยนแปลง มนุษย์เริ่มหันมาสนใจในด้านของวิชาการ
ศิลปะ ดนตรี วรรณกรรม มากขึ้น
โดยอาศัยจากพลังของนักมนุษยนิยมและปัจเจกชนนิยมเป็นเครื่องจุงใจ
จนสุดท้ายยุคสมัยของยุคกลางก็เสื่อมสภาพลงไปตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลง
ในช่วงสมัยใหม่ตอนต้น เป็นยุคแห่งการปฏิรูปและการสำรวจทางเรือ
ผู้คนต่างเดินทางสำรวจเพื่อที่จะบุกเบิกไปยังสถานที่ใหม่ๆ เพื่อค้นพบในสิ่งใหม่ๆ แต่ที่น่าสนใจคือในช่วงยุคบารอกเพราะเป็นยุคที่แสดงให้เห็นถึงความหรูหรา
โอ่อ่า อลังการ การแต่งกายในยุคบารอกจึงมีความหรูหราอลังการเป็นอย่างมาก ผู้คนในยุคสมัยนั้นจึงต่างหันมาให้ความสนใจกับความสวยงามมากขึ้นจากเดิม
ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือชนชั้นขุนนางและชนชั้นกษัตริย์
ต่อมาภายหลังจากยุคเรืองปัญญาและปฏิวัติฝรั่งเศส
ผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับการแต่งตัวเพื่อความสวยงามลดลงเพราะเนื่องจากการล่าอาณานิคมและสงครามที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
มนุษย์ก็เริ่มให้ความสนใจกับการพัฒนาเทคโนโลยี จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติครั้งใหม่
ที่เรียกยุคสมัยนั้นว่า “ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม” ในยุคนี้ผู้คนต่างเริ่มให้ความสนใจกับบทบาทหน้าที่มากกว่าชนชั้นซะเสียอีก
ซึ่งยุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตร การผลิต คมนาคมขนส่ง
และเทคโนโลยีซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและเครื่องแต่งกายด้วยเช่นกัน
ในยุคสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม
ผู้คนให้ความสำคัญกับบทบาทหน้าที่ของตนเป็นอย่างมาก เครื่องแต่งกายสมัยนั้น
ส่วนมากจะแต่งกายเพื่อการใช้งานมากกว่า
โดยเฉพาะของผู้ชายที่จะเน้นในเรื่องของความทนทาน ความแข็งแรงและเหมาะสมกับการใช้งานทำงานในโรงงาน
เหมืองแร่ และที่อื่นๆอีกมากมาย
ต่อมาภายหลังจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ก็เกิดสงครามที่เป็นมหากาพย์ครั้งแรกคือ
“สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง”
ในช่วงสมัยสงคราม เทคโนโลยีต่างก็ก้าวไกล มีทั้งปืน
รถถัง เรือรบ ชุดยุทธโธปกรณ์ ก็พัฒนาขึ้น โดยเริ่มมีชุดทหารต่างๆ ชุดเกราะกันกระสูน
และอื่นๆอีกเพื่อป้องกันอันตราย โดยเครื่องแต่งกายในช่วงสงครามจะเน้นไปยังด้านความเหมาะสม
ความเรียบร้อย (ในยุคนี้จะมีชุดยูนิฟอร์มเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว) ซึ่งในช่วงที่มีสงคราม
แทบทุกอย่างจะต้องผลอยหยุดพัฒนาไปด้วย เครื่องแต่งกายในยุคนั้นจึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นอย่างชัดเจนจนจบสงครามโลกครั้งที่สอง
จากที่กล่าวๆไป จะเห็นได้ว่าสรุปเป็นหัวข้อใหญ่ๆได้ดังนี้
-
ยุคบารอก
มีค่านิยมเพื่อความสวยงามและความแตกต่างทางชนชั้น
-
ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
มีค่านิยมเพื่อการใช้งานตามความเหมาะสม
-
ยุคสงคราม มีค่านิยมคือเพื่อการใช้งานตามความเหมาะสม
และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
นี่เป็นภาพวาดพระนางมารี อองตัวเนตในช่วงสมัยยุคบารอกที่แสดงถึงความหรูหรา
ภาพถ่ายคนงานเหมืองแร่ในช่วงยุคปฏิวัติอุติสากรรม หนึ่งในผู้คนที่นั้นคือ Levi Strauss ด้วยนะ
ภาพถ่ายทหารในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ปัจจุบัน
หลังจากทสงครามทุกอย่างได้จบลงไปแล้ว
ผู้คนจึงเริ่มสนใจหันมาพัฒนาในด้านต่างๆมากขึ้น
ในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเครื่องแต่งกายอย่างมาก
มีหลากหลายรสนิยม มีหลายประเภท หลากหลายการใช้งาน จนเกิดเป็นค่านิยมต่างๆที่เปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาอันสั้นถ้าเทียบจากยุคก่อนๆ
จนเกิดเป็นค่านิยมเฉพาะของแต่ละบุคคลเลยก็ว่าได้ บางคนใส่เพราะความชอบ บางคนใส่เพราะความสวยงาม บางคนใส่เพราะความเหมาะสม บางคนใส่เพราะการใช้งาน
และบางคนใส่เพราะปกปิดร่างกาย
แต่ยังไงก็ตามไม่ว่าจะค่านิยมไหนๆ
ทุกคนก็ล้วนใส่เครื่องแต่งกายเพราะว่าเครื่องแต่งกายกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
มาตั้งแต่ยุคก่อนๆจนถึงปัจจุบัน
แหล่งอ้างอิง
****
*****
*****
*****
จากใจผู้เขียน
หวังว่าบทความชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา และการทำความเข้าใจนะครับ หาผิดพลาดตรงไหน กระผมก็ขออภัยณที่นี้ด้วยครับ (สามารถบอกได้ไม่ว่ากัน)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น